มารู้จักความเป็นมาของ "ไวน์" กันได้เลย

ไวน์1

ประวัติความเป็นมาของไวน์


ไวน์2

มีปรากฏตามหลักฐานต่างๆ ว่าไวน์นั้นมีมานานหลายพันปีแล้ว ทางโบราณวัตถุแถวประเภทตุรกีมีอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการทำไวน์ จนมาถึงตะวันออกกลาง ในช่วงอาณาจักรบาบิโลนใช้ดื่มกันมากไปจนถึงอียิปต์เองมีภาพวาดเกี่ยวกับการเก็บองุ่นเพื่อทำไวน์มีการสันนิฐานว่าใช้ในการดื่มฉลองของเทพเจ้า มีการนำเอาเยือกไปตรวจสอพบยีสต์มีอายุกว่า 500 ปี และนอกจากนั้นยังพบอาณาจักรอื่นๆ สามารถทำไปรักษาอาการเจ็บป่วย เช่น การไอ การกระจายไปพร้อมกับศาสนาคริสต์ เนื่องจากมีการระบุว่าพระเยซูได้ดื่ม ทำให้เผยแพร่ไปพร้อมกับศาสนา ในปี ค.ศ. 1852 ชาวฝรั่งเศส โดยหลุย ปาสเตอร์ พบว่าการหมักไวน์จะทำให้น้ำตาลกลายเป็นแอลกอฮอล์ ค้นพบการป้องกันไวน์ไม่ให้เสีย จนทำให้ประเทศฝรั่งเศส นั้นเป็นผู้ผลิตไวน์ที่มีชื่อเสียงในระดับโลกและเป็นอุตสาหกรรมไวน์ ทางประเทศอเริกาตั้งโรงงานผลิตขนาดใหญ่ และไร่องุ่นของตนเองสามารถสร้างรายได้มากมาย

ขั้นตอนการทำไวน์


เมื่อก่อนนั้นใช้วิธีการหมักจากธรรมชาติโดยใช้ยีสต์ตามปกติ แต่ไม่สามารถที่จะกำหนดคุณภาพของไวน์ จึงได้คิดค้นการทำไวน์ที่ทันสมัยทำให้ไวน์มีรสชาติที่ดี

ไวน์3

1.ให้ทำการเลือกผลไม้โดยใช้ผลไม้ที่สุกจัด เช่น องุ่น ซึ่งผลไม้แต่ละชนิดมีรสชาติที่แตกต่างกัน กลิ่นและสีด้วย นำมาทำความสะอาดและตักในส่วนที่ไม่ต้องออกไป
2.ทำการหมักจากตัวอย่างองุ่น
– ไวน์ขาว จะทำการหมักเฉพาะน้ำเท่านั้น เพื่อไม่ให้สีของเปลือกไม่ทำให้ใส โดยทำการบีบหรือคั้นเองแต่น้ำ
– ไวน์แดง จะทำการหมักเปลือกจะนำขององุ่นพร้อมกัน ทำให้ผิวองุ่นเป็นสีแดง
การหมักให้เติมยีสต์เข้าไปในน้ำองุ่น หากเป็นผลไม้ชนิดไม่หวาน ต้องทำการเติมน้ำตาลเข้าไป การหมักประมาณ
2 – 3 วันก๊าซคาบอนไดออกไซน์จะเกิดขึ้นจำนวนมาก ระยะหารหมักจะขึ้นอยู่ชนิดของผลไม้ที่ใช้หมักโดยควบคุม
อุณหภูมิ 20 -16 องศาเซลเซียส ถ้าร้อนมากหรือเย็นไปก็จะทำให้ก๊าซระเหยไปรวดเร็วระยะการหมักมีผลต่อรสชาติ ซึ่งปกติแล้ว 2 – 3 สัปดาห์ก็สามารถใช้ได้แล้วบางทีมีการเปิดชิมแต่การที่ได้สัมผัสกับอากาศทำให้รสเปลี่ยนไปเช่นกัน
3การเก็บมาบ่ม น้ำที่ได้จากการหมักเมื่อมีระยะเวลาพอสมควรแล้วจะทำการกรองเอาแต่น้ำมาบ่มในถังไม้ขนาดใหญ่ และนำมาหมักไต้ดินหรือว่าสถานที่สามารถควบคุมอุณหภูมิได้ ไม่ควรเกิน 15 องศาเซลเซียส ให้ตกตะกอนเสียก่อน มักใช้ถังไม้โอ๊ก เพื่อให้สรชาติดีและมีกลิ่นที่หอม หากบ่มไว้นานก็จะเพิ่มรสชาติขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วแต่ระยะเวลาที่ต้องการ
4การบรรจุ หลังจากทำการบ่มเรียบร้อยจะนำสายยางดูดน้ำที่ได้มาบรรจุตามขวดที่ต้องการ ปิดด้วยจุกไม้คอร๊ก เป็นที่นิยมเนื่องจากมีรูระบายอากาศขนาดเล็กเพื่อให้ไวน์สามารถสัมผัสอากาศได้เก็บไว้ดื่มต่อไป


ประเภทของไวน์


การแบ่งประเภทของไวน์ อาจจะใช้วิธีการแบ่งตามประเภทของผลไม้ ปริมาณแอลกอฮอล์ ความหวาน เป็นเกณฑ์ในการแบ่งโดยทั่วไปแล้วมีการแบ่งดังนี้

ไวน์4

1. เทเบิ้ลไวน์ (Table Wine) เป็นไวน์ที่นิยมกินกับโต๊ะอาหารทั่วไปและเนื่องในโอกาสต่างๆ มีปริมาณแอลกอฮอล์ 10 -15 % ช่วยสร้างบรรยากาศและรสชาติของอาหารบนโต๊ะ ไม่หวานหรือหวานเพียงเล็กน้อย เช่น ไวน์แดง ไวน์ขาว สีของไวน์ขึ้นอยู่กับชนิดของผลไม้ที่นำมาเป็นวัตถุดิบ
2. สปาร์กลิ้งไวน์ (Sparkling Wine) ไวน์ที่มีฟองซ่าเนื่องจากเกิดจาการอัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซน์ หากทำการเขย่าและเปิดจุกจะพุ่งออกมา ซึ่งมักนำมาทำเป็นเครื่องดื่มเพื่อฉลองในงานต่างๆ ที่เรียกว่า แชมเปญ เป็นชื่อเมืองหนึ่งของทางฝรั่งเศสที่ต้นกำเนิด
3. ฟอร์ทิไฟด์ ไวน์ (Fortifide Wine) เป็นการเสริมแอลกอฮอล์เข้าไปในไวน์เพิ่มเข้าไปอีก มีการเพิ่มเข้าไปเป็นประมาณ 15 – 24 มัดเอาบรั่งดีเพิ่มขึ้นไป มักใช้ดื่มหลังและก่อนอาหาร หรือนำไปเป็นส่วนผสมในค็อกเทล
4.อโรมาไทช ไวน์ (Aromatised Wine) เป็นไวน์ที่เพิ่มสมุนไพรเข้าไปเพื่อประโยชน์ต่อสุขภาพ


ไวน์5

การเก็บรักษาไวน์


การเก็บรักษาหากมีห้องที่ทำขึ้นพิเศษ เนื่องจากมีไวน์ที่ต้องเก็บเป็นจำนวนมาก จึงมีความเหมาะสม ควรเก็บไว้ในที่อากาศถ่ายเทได้สะดวก แสงแดดส่องไม่ถึงเพราะจะทำให้รสชาติเสีย ควรอยู่ในอุณหภูมิ 10 -15 องศาเซลเซียส และมีความชื้นอยู่ที่ 65 -80 % ไม่ควรตำหรือว่าสูงกว่านี้ ต้องวางขวดไวน์ตะแคงหรือว่าให้เอียง 45 องศาเพราะว่าจะทำให้น้ำไวน์นั้นมาอยู่ที่จุกทำให้เปียกไม่ให้อากาศซึมผ่านมากไป ถ้าไวน์เปิดขวดแล้วควรเก็บในตู้เย็น หรือควรดื่มให้หมดเร็วที่สุดไม่ควรเกิน 6 วัน

ไวน์6

ร้าน Venezia Ubon จัดหนักจัดแรง โปรโมชั้นลดราคาไวน์ขาว หรือ สปาร์คกลิ้ง ถึง 15 % สำหรับท่านที่ชอบทานไวน์ ทางร้านมีไวน์หลากยี่ห้อ หลากหลายรสชาติ ให้คุณลูกค้าได้มาลิ้มลอง พร้อมทั้งสัมผัสบรรยากาศในร้านที่แสนโรแมนติก รสชาติอาหารก็อร่อย ไวน์ก็เป็นไวน์ชั้นดี จิบไวน์เบาๆภายใต้แสงเทียน ถ้าคุณคือคอไวน์ตัวจริง ไม่ควรพลาดโปรดีๆแบบนี้

ความคิดเห็น